ช็อกโกแลตขนมหวานแห่งความสุข
ประวัติความเป็นมาของช็อกโกแลตช็อกโกแลตถูกค้นพบมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกาชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง
ชนกลุ่มนี้ได้แก่ ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา เล่ากันว่า คนมายาในยุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมาก ส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้ามีหน้ามีตาเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ลิ้มรสเครื่องดื่มช็อกโกแลตต่อมาชาวสเปนออกเดินทางแสวงหาความมั่งคั่งสู่ทวีปอเมริกา และได้พบเครื่องดื่มช็อกโกแลต หลังจากที่สเปนมีชัยเหนือชาวแอซเทคแล้ว พวกเขาได้นำเอาช็อกโกแลตกลับประเทศด้วย เพียงไม่นานเครื่องดื่มช็อกโกแลตรสชาติอมตะ ก็ได้แพร่หลายและกลายเป็นที่นิยมในทวีปยุโรปสำหรับที่มาของคำว่า ช็อกโกแลต นั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัดแน่นอน แต่มีความเป็นไปได้สองทาง คือ ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจาก ช็อกโกลัจ ในภาษามายา ซึ่งแปลว่ามาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายไว้ว่ามาจากคำว่า Chocol แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า atl ที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า Chocolatl ซึ่งต่อมาคำนี้ก็ได้กลายเป็นคำว่า Chocolate ในปัจจุบัน
- ชนิดของช็อกโกแลตน่ารู้ช็อกโกแลตเป็นเครื่องดื่มและขนมหวานของโปรดของใครหลายคน ซึ่งสามารถแบ่งได้มากมายหลายชนิด แต่จากที่ดิฉันได้ศึกษารวบรวมข้อมูลมานั้น ทำให้ดิฉันสามารถสรุปได้ว่า ช็อกโกแลต แบ่งออกเป็น 3 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่
2.1 ดาร์กช็อกโกแลต (dark chocolate) เป็นช็อกโกแลตเข้มข้น มีส่วนประกอบของโกโก้ลิคเคอ ไขมันโกโก้ โดยปกติแล้วนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้
2.2 มิลค์ช็อก (milk chocolate) โกแลต เป็นช็อกโกแลตที่เหมือนกับดาร์กช็อกโกแลต เพียงแต่เสริมส่วนประกอบของนมเพิ่มเติม ทำให้ได้รสชาติที่หวาน หอม และนุ่มลิ้นมากขึ้น
2.3 ไวท์ช็อกโกแลต (white chocolate) เป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ลิคเคอ แต่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ น้ำตาล นม และมีการแต่งกลิ่นเพิ่มด้วย
- เรื่องน่ารู้ ช็อกโกแลตกับความอ้วน มีการวิจัยเกี่ยวกับช็อกโกแลต ซึ่งการวิจัยนี้ทดสอบโดยมีอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีโดย มีชาย 7 คนหญิง 8 คน และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 กินดาร์กช็อกโกแลต วันละ 100 กรัม อีกกลุ่มหนึ่งกินไวท์ช็อกโกแลต 90 กรัม ทุกวันเป็นระยะเวลา 15 วัน
ผลที่ได้คือกลุ่มที่กินดาร์กช็อกโกแลต ทุกคนมีความดันโลหิตลดลง และมีความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญน้ำตาลมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่กินไวท์ช็อกโกแลต ความดันโลหิตไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากว่าดาร์ช็อกโกแลต มีระดับลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารเสริมสร้างสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และยังช่วยลดอาการอุดตันของหลอดเลือดอีกด้วยส่วน
ไวท์ช็อกโกแลต ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่า นมอาจเป็นตัวที่ขัดขวางการดูดซับฟลาโวนอยด์นั่นเอง นอกจากนี้ในงานวิจัยยังระบุอีกด้วยว่าควรกินดาร์กช็อกโกแลต ในปริมาณเทียบเคียงกับระดับแคลอรี่ที่เราทานในแต่ละวัน โดยที่ดาร์กช็อกโกแลต 100 กรัมให้พลังงาน 500 แคลอรี่ ง่ายๆ ก็ทานดาร์กช็อกโกแลต วันละ 100 กรัมก็ได้
- ประโยชน์อันหลากหลายของช็อกโกแลต
4.1 ช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อหัวใจทีมนักวิจัยจาก University of California at Davis, USA พบว่าโกโก้มีฤทธิ์ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตัน อันเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคหัวใจหากรับประทานทานช็อกโกแลตในจำนวนที่พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป โดยผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of Clinical Nutrition โดย Prof. Carl Keen และคณะ ประจำภาค Nutrition and Internal Medicine แห่งมหาวิทยาลัยนี้ ได้คัดเลือกอาสาสมัครจำนวน 30 คนซึ่งไม่สูบบุหรี่และไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจมาก่อน เข้าทำการทดลอง โดยให้คนทั้งหมดนี้ดื่มน้ำ หรือ เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มโกโก้ โดยให้ดื่มต่างเวลากันและดื่มทีละชนิด แต่ละครั้งก่อนดื่มจะถูกตรวจเลือดก่อน และตรวจเลือดอีกครั้งหลังการดื่มโดยห่างประมาณ 2 และ 6 ชั่วโมงตามลำดับ
นักวิจัยพบว่า Platelets ในเลือดของร่างกายผู้ที่ดื่มโกโก้ มีการจับตัวเป็นก้อนน้อยกว่า ทั้งนี้ Platelets เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรือก้อนเมื่อเราบาดเจ็บ แต่อาจจับตัวกันหนาแน่นเป็นลิ่มเหนียวข้นเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันในร่างกายได้ ซึ่งถ้าเป็นก้อนใหญ่ก็จะทำให้เป็นโรคหัวใจวายกะทันหันได้
อ่านบทความข่าวสารอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ webstats-r-us.com อัพเดตทุกสัปดาห์